“อัจฉริยะ” ร่อนหนังสือถึง นายกฯ จี้ ปลดเลขาฯ ป.ป.ส. บอกเป็นต้นตอยาเสพติดระบาด ยก 8 เหตุผลสร้างความเสียหายต่อประเทศ ถามนักการเมืองระดับชาติเกี่ยวข้องจะแก้ปัญหาอย่างไร
27 ตุลาคม 2565 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขอให้ปลดเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ในการทำงานที่ล้มเหลวทุกด้านในเรื่องยาเสพติด โดยมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายมงคลชัย สมอุดร เป็นผู้รับหนังสือ
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า วันนี้ที่มายื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ เพื่อต้องการให้ปลดเลขาธิการ ป.ป.ส. ออกจากตำแหน่ง และหาคนที่เหมาะสมมาทำหน้าที่แทน เนื่องจากเลขาธิการ ป.ป.ส. คนปัจจุบันบริหารงานล้มเหลว
ซึ่งมีประเด็นทั้งหมด 8 ข้อ 1.มีการแจ้งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ว่าพบเคตามีน 2 หมื่นกว่าล้านและมีการแถลงข่าวเผยแพร่ไปทั่วโลก แต่ต่อมาได้มีการแถลงข่าวว่าไม่ใช่เคตามีนแต่กลายเป็นเกลือ
2.ไม่มีการสกัดกั้นสารตั้งต้นโซเดียมไซยาไนด์ที่นำมาเป็นส่วนผสมของยาเสพติดโดยการปล่อยลักลอบให้เข้าไปประเทศลาว ซึ่งในภาคเหนือมีการประสานไว้ว่าห้ามส่งออกสารไซยาไนด์ทำให้ทะลักไปทางภาคอีสาน เช่น จังหวัดนครพนม บึงกาฬ ไปสู่ประเทศลาวและพม่าทำให้ผลิตเป็นสารเสพติด
3.การแก้กฎหมายให้ผู้เสพยาปรับให้มีการครอบครองไม่เกิน 15 เม็ดจึงทำให้เป็นผู้ขาย ทำให้เกิดช่องว่างขบวนการยาเสพติดรายย่อยกลายเป็นผู้ค้ารายย่อยขยายวงกว้างให้ซื้อยาเสพติดได้มากขึ้น และทำให้ผู้ติดยามากขึ้นจำนวนมาก
4.ศูนย์บำบัดยาเสพติดไม่สามารถทำได้จริง ทั้งสถานที่และงบประมาณ ต้องไปอาศัยโรงพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย รวมถึงไม่สามารถรักษาให้หายได้ตามนโยบายของรัฐบาล
5.การขออนุมัติคดีสมคบยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อเลขาธิการปปส.ไม่สามารถทำได้ทำให้ผู้ต้องหาสามารถหลบหนี
6.การอ้างว่ายึดอายัดทรัพย์ 5 พันล้านบาทของผู้ต้องหาค้ายาเสพติดก็ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงแค่ยึดเอาไว้ตรวจสอบ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงวาทกรรมของเลขาธิการ ป.ป.ส.
7.การ พิจารณางบประมาณให้หน่วยงานปราบปรามยาเสพติดก็พิจารณาด้วยความไม่รู้จริงทำให้หน่วยงานปราบปรามยาเสพติดขัดแย้งกันเกิดความเหลื่อมล้ำ
8. การอนุมัติคดีสมคบยาเสพติดเป็นไปด้วยความล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ทำให้ผู้ต้องหาหลบหนีหรือสามารถโยกย้ายทรัพย์สินได้
นายอัจฉริยะ ย้ำว่า หากปล่อยให้เลขาธิการ ป.ป.ส. ทำหน้าที่ต่อจะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและตอนนี้นายกรัฐมนตรีก็ประกาศว่ายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ มองว่าเลขาธิการ ป.ป.ส. คนปัจจุบันเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดยาเสพติด เพราะอำนาจทั้งหมดอยู่ที่เลขาธิการ ป.ป.ส. ทั้งงบประมาณ ในการบำบัดหรืองบประมาณตามชายแดน
“ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และขัดแย้งภายในหน่วยงานด้วยกันเอง พวกสารตั้งต้นเหล่านี้หากไม่มีส่งไปประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่สามารถผลิตยาเสพติดมาส่งที่ไทยได้ หรือทำได้ก็ทำได้น้อย เราเคยจับกุมเมื่อปี 61 ได้ที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จากนั้นก็หายเงียบไปเลยไม่มีการจับได้”
ส่วนที่อดีตนักการเมือง และนักธุรกิจ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกแถลงเกี่ยวกับยาเสพติดเหมือนกัน นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งกรณีทหารเรือที่ขนยาบ้าเข้ามาในเมืองหลวง และยาไอซ์มากกว่า 1 ตัน ตนก็ไม่เข้ากองบัญชาการตำรวจภาคสี่และทหารเรือทำไมจึงไม่ยอมจับ เหมือนที่นายชูวิทย์พูดว่าทุกอย่างมีระบบ ซึ่งก็เป็นไปตามที่นายชูวิทย์พูด
ส่วนที่นายชูวิทย์ มีการเชื่อมโยงไปถึงนักการเมืองนั้น นายอัจฉริยะ ระบุว่า อย่าง กรณีที่จังหวัดนราธิวาสก็เกี่ยวข้องกับนักการเมืองระดับชาติ และเป็นส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล จึงตั้งคำถามว่า เกี่ยวพันกันแบบนี้จะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร “ในเมื่อนักการเมืองระดับชาติเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แล้วเจ้าหน้าที่รัฐเขากลัวถูกโยกย้าย ริบอำนาจ ดังนั้นการปราบปรามยาเสพติดมันยาก”
ทั้งนี้นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ถ้า ป.ป.ส. มีเลขาธิการที่เก่งทำงานได้ไวทุกอย่างจะดีขึ้น ตนมองว่ามีอย่างที่ไหนไปลดโทษคดียาเสพติด แต่เพิ่มโทษความผิดทางจราจร ซึ่งต้องว่าไปตามกฎกติกา เรื่องนี้เลขาธิการ ป.ป.ส. ต้องรับผิดชอบ